1) ประเทศสิงคโปร์สะอาดและมีวินัยสูง ไม่มียุ่ง
2) คนสิงคโปร์รักชาติมากและมีความมุ่งมั่นที่จะเป็นศูนย์การให้บริการที่ดีเลิศระดับโลก
3) ประเทศสิงคโปร์มีฐานะทางเศรษฐกิจดี ได้ลงทุนว่าจ้างคณาจารย์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกมาให้ความรู้แก่นักธุรกิจ อาจารย์ และนักศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่อให้ทุกคนมีความรู้ทันสมัยและสามารถปรับกลยุทธ์รวมทั้งแผนดำเนินงานให้ทันโลกทันเกตุการณ์
4) รูปแบบการจัดประชุมวิชาการของสิงคโปร์ต่างไปต่างประเทศตะวันตก โดยเน้นการผสมผสานระหว่างภาคทฤษฎีและข่าวสารทางวิชาการที่ทันสมัยมาก กับ ความรู้เชิงประยุกต์ที่สามารถนำความรู้ทางทฤษฎีหรือวิชาการไปใช้ในภาคปฏิบัติ ขณะที่ประเทศตะวันตกเน้นการให้ความรู้ทางทฤษฎีและวิชาการสมัยใหม๋เป็นหลัก
ในการประชุมวิชาการที่ Singapore Management University ระหว่างวันที่ 21-23 ก.ค. 53 รูปแบบการจัดการที่แตกต่างไปจากประเทศตะวันตก เป็นดังนี้
วันแรก 21 ก.ค. 53 เชิญปรมาจารย์ชื่อดังจากสหรัฐฯ มาให้ความรู้ด้านบริการสมัยใหม่ให้กับนักศึกษาปริญญาโท และคนนอกที่สนใจสมัครเข้ามาเรียนรู้ โดยจ่ายคนละ 500 เหรียญสิงคโปร์หากเป็นสมาชิก (1 เหรียญสิงคโปร์ = 23.73 บาท หรือประมาณ 11,800 - 20,000 บาท) หากไม่เป็นสมาชิกจ่ายคนละ 1,000 เหรียญสิงคโปร์ และมีการทำกรณีศึกษาเพื่อประยุกต์ใช้แนวคิดสมัยใหม่ ซึ่งมีคนสมัครเรียน ประมาณ 80 คน
วันที่สอง 22 ก.ค. 53 เชิญปรมาจารย์ชื่อดังจากประเทศตะวันตกหลายประเทศมานำเสนอผลงานวิจัย แล้วเชิญนักธุรกิจทั้งขนาดใหญ่และหรือขนาดเล็กของสิงคโปร์มาเล่าประสบการณ์การดำเนินงานทางธุรกิจ จากนั้นจัดกลุ่มอภิปรายที่เป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งที่เป็นปรมาจารย์ นักธุรกิจ ผู้สื่อข่าว ร่วมแสดงความเห็นในหัวข้อวิจัยที่กำหนด แล้วเปิดโอกาสให้ผู้เข้าฟังได้ซักถามประมาณ 3-4 คำถามต่อหัวข้อวิจัย มีประมาณ 4 หัวข้อ ซึ่งทุกหัวข้อเกี่ยวกับการบริการเป็นเลิศ ทำให้ผู้ฟังได้ข้อคิดหลากหลายด้านที่ทันสมัยทั้งในด้านวิชาการและภาคปฏิบัติ มีคนสมัครเรียนประมาณ 300 คน
วันที่สาม 23 ก.ค. 53 เป็นการนำเสนอบทความวิจัยหรือวิชาการของคณาจารย์ต่าง ๆ จากเอเชีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ สหรัฐฯ เยอรมันฯลฯ มีคนสมัครมานำเสนอบทความวิจัยประมาณ 50 คน มีการซักถามและแสดงความเห็น แต่ไม่เข้มข้นเท่าวันที่สอง
แม้ว่าการจัดประชุมครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สอง แต่สิงคโปร์ก็มีความพยายามสูงที่จะสร้างความแตกต่าง ที่สำคัญฝ่ายจัดเตรียมการประชุมมีอายุไม่มากประมาณ 20-30 ปี ในการดำเนินการจัดประชุมก็ให้นักศึกษาปริญญาตรีมาคอยประสานงานและต้อนรับแขกต่างประเทศ ทุกคนพูดภาษาอังกฤษคล่อง อีกทั้งพูดภาษาจีนได้ด้วย หลายคนที่มาทำงานมีความตั้งใจจะศึกษาสูงขึ้น โดยบางคนจะไปศึกษาต่อต่างประเทศ จึงเป็นการเตรียมความพร้อมที่ดี เพราะได้พบปรมาจารย์ชื่อดัง ได้ฟังการบรรยาย ได้ทำความรู้จักในเบื้องต้น ส่งผลให้มีโอกาสเข้าไปศึกษาต่อต่างประเทศได้ง่ายขึ้น เพราะมีการสร้างเครือข่ายสัมพันธ์ผ่านมหาวิทยาลัย ขณะเดียวกันคนทำงานวัยรุ่นเหล่านี้ยังได้ฝึกการต้อนรับและสร้างสัมพันธ์กับนักวิจัยและนักวิชาการระหว่างประเทศ เพื่อเป็นฐานสำคัญในการนำสิงคโปร์ไปสู่เป้าหมายของเป็นศูนย์กลางการให้บริการเป็นเลิศระดับโลก
นอกจากนี้ การมีโอกาสไปชมวัดสำคัญของไทยในสิงคโปร์ เช่น วัดป่าเลไลย์ ซึ่งปัจจุบันชาวสิงคโปร์ได้เข้ามา มีบทบาทดำเนินงานและควบคุมงานทั้งหมด ไม่ใช่พระไทยอีกต่อไป พบว่า คณะกรรมการของวัดที่เป็นชาวสิงคโปร์นี้ มีความเข้มแข็ง มีวินัย และมีการกลุ่มผู้บริหารที่มีประสบการณ์มาดูแลกำกับการดำเนินงานของวัดให้มีระเบียบและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น เฉกเช่นการบริหารกิจการธุรกิจขนาดย่อม ที่สำคัญวัดแห่งนี้มีการเปิดสอนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ โดยครูผู้สอนเป็นชาวสิงคโปร์ที่มีความรู้ด้านศาสนาอาสาสมัครเข้ามาสอนให้เด็ก ๆ ชาวสิงคโปร์ประมาณ 5-7 ขวบ สัปดาห์ละ 1 ครั้งเวลา 13.00-15.00 น. โดยสอนหลักธรรม มี 4 ห้อง แยกตามอายุของเด็กและความเหมาะสมในการเรียนรู้ ซึ่งเน้นการเรียนรู้แบบพึ่งตนเอง จากนั้นคุณครูก็พาเด็กไปฝึกนั่งสมาธิชั้น 3 ที่เป็นห้องภาวนาโดยเฉพาะ ประมาณ 30 นาที ผู้ปกครองจ่ายค่าเรียนให้เด็กคนละ 30 เหรียญสิงคโปร์ต่อ 1 ภาคการศึกษา จะเห็นว่าแม้สิงคโปร์จะไม่มีวัดมาก แต่เขาก็เริ่มสนใจนำหลักพุทธศาสนาเข้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน ที่สำคัญมุ่งให้เด็กของเขาได้เรียนรู้ธรรมะเพื่อประโยชน์ในการศึกษาและฝึกนั่งสมาธิเพื่อให้เข้าถึงแก่นแท้ของพุทธศาสนา ผู้อำนวยการโรงเรียนจะพาเด็กนักเรียนมาฟังคุณครู เฉกเช่นสมัยก่อนวัดในประเทศไทยส่วนใหญ่จะเปิดสอนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ให้ฟรีมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ทำให้เด็กไทยได้ฝึกเรียนรู้ธรรมะ อีกทั้งได้รู้ภาษาอังกฤษไปด้วย ตรงข้ามกับปัจจุบันที่กระทรวงศึกษาธิการของไทยตัดวิชาศีลธรรมออก ตลอดจนแทบไม่มีการเปิดสอนพุทธศาสนาวันอาทิตย์เหมือนสมัยก่อน เพราะไม่เป็นที่นิยมของวัยรุ่นไทยที่เน้นเรียนอินเตอร์เน็ทหรือเรียนพิเศษมากกว่า เมื่อเยาวชนไทยขาดศีลธรรม ประเทศไทยจะเป็นอย่างไร?
จะเห็นว่าสิงคโปร์กำลังพัฒนาคุณค่าทรัพยากรมนุษย์ที่จะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน โดยเน้นการเพิ่มทักษะความรู้ใหม่ที่ล้ำสมัยคู่คุณธรรมตามหลักพุทธศาสตร์ ที่แม้แต่สหประชาชาติยกย่องและยอมรับวันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญของโลก ซึ่งทศวรรษที่ 21 ถือว่าความโดดเด่นที่ไร้เทียมทานของทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญยิ่งต่อความสำเร็จขององค์กร ดังที่บรรพบุรุษของไทยและกษัตริย์ไทยอย่างเช่น สมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า รัชกาลที่ 5 ได้ทรงประยุกต์ใช้หลักธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ในการปกครองและการรบจนได้ชัยชนะ และสามารถรักษาผืนแผ่นดินไทยเป็นมรดกตกทอดถึงลูกหลานไทยปัจจุบัน ยิ่งในรัชกาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชที่ทรงใช้หลักทศพิศราชธรรมตั้งแต่ปี พ.ศ. 2493 "เราจะปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์แห่งมหาชนชาวสยาม" ทำให้ประเทศไทยเกิดความสงบร่มเย็นอย่างต่อเนื่อง และทรงเสนอแนะหลักเศรษฐกิจพอเพียงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2517 เพื่อให้ประชาชนชาวไทยใช้เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตและธุรกิจเพื่ออยู่รอดและเติบโตอย่างยั่งยืน
การสร้างคุณค่าการตลาดจึงจำเป็นยิ่งต่อสังคมไทย เราจะเริ่มกันที่ไหน ก็ต้องที่ตัวเราก่อน ค้นคว้าหาความรู้สมัยใหม่พร้อมคุณธรรมที่เป็นแก่นแท้ของพระพุทธศาสนา นำมาประยุกต์ใช้ในทางปฏิบัติ จนเกิดผลที่มั่นใจว่าไปถูกทางแล้ว จึงค่อยเผยแพร่ออกไปช่วยคนอื่น ๆ เพื่อให้แผ่นดินไทยเกิดภูมิปัญญาและภูมิคุ้มกันอย่างแท้จริง เกิดแนวคิดใหม่ ๆ ที่จะสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยและสังคมโลกโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมที่ดีงาม รวมทั้งคุณธรรมอันล้ำค่าที่มนุษย์ต้องอาศัยพึ่งพิงเพื่อให้เกิดสันติสุขทั่วหล้า
ด้วยเหตุนี้โครงการคุณค่าการตลาดกับบทบาทการสร้างสรรค์สังคมไทย จึงเกิดขึ้น เพื่อเปิดให้บริการอบรมความรู้แนวคิดใหม่ ฟรี แก่นักธุรกิจขนาดย่อมและผู้สนใจเป็นเวลา 1 ปี ระหว่างเดือนสิงหาคม 2553 ถึงเดือนกันยายน 2554 ถวายพระราชกุศลในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมายุ 84 พรรษา โดยเปิดอบรมเดือนละ 1 ครั้ง ๆ ละสองรอบ รอบเช้าเวลา 9.00-12.30 น. รอบบ่ายเวลา 13.30-16.30 น. รับจำนวนจำกัด ผู้สนใจสามารถสมัครเข้ารับการอบรมได้เพียง 1 ครั้งและรอบเดียวเท่านั้น แต่จะได้รับประโยชน์อื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น การได้รับคำปรึกษาฟรี การได้รับการอบรมฟรีแก่พนักงานขององค์กรฯลฯ หากผ่านเกณฑ์ประเมินตามที่กำหนด สนใจสามารถสมัครทางอีเมล์ที่ somdeetu@gmail.com โดยระบุชื่อ ที่อยู่ อีเมล์และเบอร์โทรศัพท์ที่สามารถติดต่อกลับได้สะดวก ตลอดจนระบุประเภทธุรกิจที่ดำเนินงานอยู่ ความรู้ที่ต้องการฯลฯ สามารถดูความเป็นมาและวัตถุประสงค์ของโครงการได้ที่ http//somdeetu99.blogspot.com